วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

1. ประวัติพระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง อย่างละเอียด ตอนที่ 1



        ประวัติ หลวงปู่นาค วัดระฆัง  หน่อเนื้่อสมเด็จโต วัดระฆัง

ย้อน หลังไปเมื่อกว่าแปดสิบปีก่อนโน้น    ดินแดนแห่งที่ราบสูงนครราชสีมา หรือที่ชาวบ้านชาวเมืองเรียกติดปากมาจนบัดนี้ว่า "เมืองโคราช"    เด็กชายนาคฯ ได้ถือปฏิสนธิ    เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2427 เวลา 19.10 น. เศษ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 9 ปีวอก จุลศักราช 1246     ท่านมาจากตระกูลและพื้นเพเดิมของผู้มีอันจะกินและมีบรรดาศักดิ์สูงของตระกูล "มะเริงสิทธิ" ปู่ทวดของท่านมียศบรรดาศักดิ์เป็นที่ "หลวงเริง" และปู่ของท่านแท้ ๆ คือ ขุนประสิทธิ์ (อยู่) นายอากรเมืองโคราชในยุคนั้น     และย่าของท่านชื่อ ท่านฉิม บิดาของท่าน   คือ นายป้อม มะเริงสิทธิ มารดาชื่อ นางสวน บุตรพระวิเศษ (ทองศุข)   และท่านอิ่ม ท่านเป็นบุตรคนที่ 1 มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คน ชาย 2 คน หญิง 2 คน ดังนี้

1.พระเทพสิทธินายก (นาค โสภณเถระ)
2.พระภิกษุโชติ (ถึงแก่มรณภาพแล้ว)
3.นางทุเรียน ประภาวดี
4.นางอุดร จุลรัษเฐียร

ใคร ก็รู้ ..... เมืองโคราชสมัยกว่าแปดสิบปีนั้น  ห่างไกลจากกรุงเทพพระมหานครประหนึ่งคนละฟากฟ้า     เพราะการคมนาคมไม่สะดวกเหมือนปัจจุบันนี้      การไปมายังไม่มีทางรถไฟและถนนหนทาง หลวงปู่นาคเล่าว่า    เมืองโคราชสมัยที่ท่านยังเป็นเด็กนั้น     ห่างตัวเมืองออกไปเล็กน้อยล้วนแต่เป็นป่าเปลี่ยว   มีแต่สัตว์ป่าที่ดุร้ายนานาชนิด     ทางเดินที่จะผ่านเข้าสู่เมืองหลวงกรุงเทพพระมหานครเป็นป่าดงพงพีทุระกันดาร อย่างแสนสาหัสจนเรียกกันว่า "ดงพญาเย็น - ดงพญาไฟ" ซึ่งผู้คนจำนวนไม่น้อยมาพบจุดจบเมื่อผ่านดงมหาภัยแห่งนี้     ปัจจุบันคนที่เกิดในยุคนี้อาจไม่รู้จักหรือลืมชื่อเสียแล้ว

เด็ก ชาย นาค มะเริงสิทธิ เหมือนกับลูกชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายที่เจริญวัยขึ้นมา     อยากหาความรู้ใส่ตัวเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล แต่โคราชยังไม่มีโรงเรียนเกิดขึ้น มีแต่วัดวาอารามเท่านั้น     พ่อแม่จึงส่งเด็กชายนาค ฯ มาฝากไว้กับพระครูสังฆวิจารย์ (มี) ซึ่งเป็นลุงของท่านที่วัดบึงใกล้ประตูชุมพลเดี๋ยวนี้     ซึ่งท่านได้สั่งสอนวิชาให้ตามสมควร ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณรตั้งแต่นั้นมา     อาศัยที่ท่านเป็นคนฉลาดเล่าเรียนเก่ง พระอาจารย์ที่เป็นครูสั่งสอนภาษาบาลีและภาษาไทย   จึงแนะแนวทางให้ท่านเดินทางเข้ามาศึกษาต่อในสำนักดี ๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

สามเณร นาค อายุ 13 ปี     หาโอกาสเดินทางอยู่เป็นเวลาแรมเดือน    จึงสบโอกาสเมื่อมีกองคาราวานวัวต่างและเกวียนราว 30 กว่าคน  จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ท่านจึงขอร่วมเดินทางมากับเขา   ด้วยสมความตั้งใจ ท่านเล่าว่าตอนที่เดินทางมาหลายสิบวันนั้น ใกล้จะถึงเมืองสระบุรี ท่านได้เห็นกุลี (กรรมกร) เป็นจำนวนมากกำลังทำงานกรุยทางสร้างทางรถไฟอยู่แล้ว    เมื่อถึงสระบุรีแล้วท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงขอแยกจากกองคาราวาน เข้าขอฝากตัวเป็นศิษย์กับพระภิกษุรูปหนึ่งในวัด "ทองพุ่มพวง" อำเภอเสาไห้ ซึ่งหลวงนิเทศ นายอำเภอเสาไห้    ผู้เป็นน้าช่วยอุปการะ ท่านอาศัยอยู่ในวัดนี้หลายเดือนและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วย    แต่ท่านก็มิได้ละความตั้งใจที่จะเข้าศึกษาพระธรรมวินัยในกรุงเทพฯ ให้ได้ในกาลข้างหน้า

ท่านกล่าว ว่า    ต่อมาท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ สมความตั้งใจ มีญาติในกรุงเทพฯ    แนะนำพาท่านซึ่งยังเป็นเณรไปฝากไว้กับท่านอาจารย์เลื่อม   ซึ่งเป็นพระลูกวัดของวัดระฆังโฆษิตาราม มีกุฏิอยู่หน้าวัดใกล้ปากคลอง    และปัจจุบันนี้ได้สร้างเป็นโรงเรียนสตรีวัดระฆัง

พระ อาจารย์เลื่อมเป็นพระหลวงตาที่ชราภาพมาก     และเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา มีลูกศิษย์ลูกหามาก  โดยที่ท่านเป็นพระสอนทางวิปัสสนากรรมฐาน   ท่านเฝ้าสั่งสอนวิชาการต่าง ๆ ให้ด้วยความรักความเอ็นดู  เพราะสามเณรนาคเป็นผู้ว่านอนสอนง่ายสมองปราดเปรื่อง

ตอน นั้น .... ท่านเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม  คือ พระธรรมโตรโลกาจารย์   ซึ่งต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร)  สมเด็จองค์นี้เป็นศิษย์ของสมเด็จองค์เก่า   คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) นั่นเอง    พระธรรมไตรโลกาจารย์มองเห็นหน่วยก้านและบุคลิกลักษณะของสามเณรแล้ว   พิจารณาเห็นว่าจะดีเด่นเป็นเอกในวันข้างหน้า   ท่านจึงได้รับอุปการะและสั่งสอนในสำนักของท่านทั้งภาษาไทยและภาษาบาลี

ความ เจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองสมัยนั้น  เพิ่งจะเริ่มขึ้นชั่วคนละฟากข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา   นับได้ว่าวัดระฆังฯ อยู่ใกล้กำแพงเมืองหลวงหรือเรียกกันว่าใกล้ปืนเที่ยงที่สุดวัดหนึ่ง   วัดระฆังฯ มีอาณาเขตกว้างใกญ่ไพศาล รายล้อมไปด้วยสวนและนาอยู่ใกล้ ๆ เป็นดินแดนแห่งความสงบวิเวกวังเวง   เหมาะสมที่จะบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ของภิกษุสงฆ์ ท่านเล่าว่า ท่านอาจารย์นวล ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาบาลี เดิมเคยจำพรรษาอยู่สำนักวัดมหาธาตุ   ได้ข้ามฟากมาสอนภาษาบาลีอยู่ในสำนักวัดระฆังฯ และเป็นอาจารย์ของท่านด้วย

เมื่อ สามเณรนาคฯ มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์   ได้เข้าแปลเปรียญธรรม ประโยค 3 เป็นครั้งแรกต่อหน้าพระที่นั่งรัชกาลที่ 5 และกรรมการสงฆ์ล้วนแต่เป็นพระเถรานุเถระผู้ใหญ่ผู้ทรงสมณศักดิ์หลายรูป    ปรากฏว่าสามเณรนาคฯ แปลได้เป็นเปรียญธรรมประโยค 3   ได้รับพระราชทานเครื่องไทยทานอัฎฐบริขารจากพระหัตถ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ด้วยองค์หนึ่ง

สามเณร นาคฯ  ได้เป็นมหาสามประโยคแล้วสมความตั้งใจ    ท่านมิได้หยุดยั้งเพียงเท่านี้ คงพยายามศึกษาเล่าเรียนต่อไปจนเมื่ออายุครบ 21 ปี สามเณรนาคฯ เข้าแปลหน้าพระที่นั่งอีกครั้งหนึ่งและได้เปรียญธรรมประโยค 4    นับว่าสามเณรนาคฯ เป็นผู้คงแก่เรียนซึ่งหาได้ยากในยุคนั้น    ซึ่งแต่ละครั้งที่เข้าสอบจะมีพระภิกษุและสามเณรสอบเปรียญได้เพียงไม่กี่รูป

ระยะ นั้นท่านเจ้าอาวาส พระธรรมไตรโลกาจารย์    จึงทรงอุปการะบวชสามเณรนาค ผู้มีอายุครบบวชแล้วเป็นพระภิกษุสงฆ์ต่อไป โดยได้ทรงนิมนต์พระเถระผู้ทรงสมณศักดิ์สูงมาเป็นพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจา จารย์    ต่อหน้าองค์พระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม ดังต่อไปนี้
************************************************************
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์) อธิบดีสงฆ์ วัดอรุณราชวราราม ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์
สมเด็จพระวันรัต (ดิษ) อธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระธรรมโกษาจารย์ (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) ทรงเป็นผู้บอกอนุสาสน์

*************************************************************
พระ มหานาค ป.ธ. 4   ซึ่งต่อมาชาวบ้านเรียกชื่อท่านสั้น ๆ ว่า "มหานาค"    และรับฉายาจากองค์พระอุปัชฌาย์ว่า "โสภโณภิกขุ" ได้เข้าแปลเปรียญธรรมได้ประโยค 5 ภายหลังบวชเป็นพระแล้วใหม่ ๆ    ต่อจากนั้นท่านมหานาคไม่ได้เข้าแปลเพื่อสอบเปรียญธรรมเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งในขณะนั้นมีการศึกษาเปรียญธรรมถึงประโยค 6    เนื่องด้วยท่านมีภาระยุ่งกับงานของวัดมากขึ้น    โดยเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดในพระคุณเจ้าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร)
- ต่อมาในปี พ.ศ.2464 ท่านโสภโณภิกขุ (มหานาค) ได้รับสัญญาบัตรพัดยศเป็นที่ พระธรรมกิติ
- พ.ศ.2467 - 2468 ภายหลังจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) มรณภาพแล้ว    พระธรรมกิติได้รับหน้าที่รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามแทน และเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมาจนมรณภาพ .. (1)
- พ.ศ.2475 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศที่ พระราชโมลี
- พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานเลื่อนขึ้นเป็นที่ พระเทพสิทธินายก


ใน สมัยที่ท่านกำลังศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมประโยค 4 - 5 ท่าน   ได้ศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานกับท่านอาจารย์ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดพลับ (เจริญภาส)    เพิ่มเติมอีกโดยได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดซึ่งต้องใช้เวลาเพียรพยายามศึกษา เล่าเรียนอยู่ประมาณ 10 ปี    ก็สามารถใช้เป็นมูลฐานกระทำชาญวิปัสสนาส่งกระแสจิตได้   ต่อมาได้เปิดสอนทางวิปัสสนากรรมฐานขึ้นในศาลาการเปรียญของวัดระฆังโฆษิตาราม    เกี่ยวกับการสอนวิปัสสนานี้ได้เคยปรากฏว่า ครั้งหนึ่งผู้เข้าศึกษานั่งสมาธิจิตทางวิปัสสนา  ได้นั่งทำจิตถอดวิญญาณไปดูนรกสวรรค์ และท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ เป็นเวลา 2 วัน    ก็ยังไม่คืนสติ คงนั่งสมาธิอยู่เช่นนั้น ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการฝึกสอนอยู่    ได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตไปติดตามวิญยาณของผู้นั่งสมาธิรายนี้ และไปพบในสุสานวัดดอน ตรอกจันทร์     ปรากฏว่ากำลังเที่ยวเพลิดเพลินอยู่      ท่านจึงส่งกระแสจิตเตือนวิญญาณนั้นให้กลับคืนเข้าร่างเดิมเพราะล่วงมา 2 - 3 วันแล้ว หากล่าช้าไปจะคืนเข้าร่างเดิมไม่ได้     ร่างกายก็อาจจะเน่าเปื่อยไป วิญญาณของชายผู้นั้นจึงได้สติแล้วกลับคืนมาเข้าร่างเดิมที่นั่งสมาธิอยู่ใน ศาลาการเปรียญวัดระฆังโฆสิตาราม     นอกจากนี้ได้เคยปรากฏว่าคุณโยมของท่านป่วยอยู่ทางจังหวัดนครราชสีมา    โดยมิได้ส่งข่าวถึงท่าน    แต่ท่านสามารถทราบได้และนำหยูกยาไปปฐมพยาบาลได้ถูก    เพราะท่านใช้อำนาจกระแสสิตทางวิปัสสนา    ดังนี้ การกำหนดจิตอันกระทำให้เกิดพลังจิตขึ้นได้จึงเป็นเหตุให้พระคุณเจ้าได้คิด สร้างพระสมเด็จขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2484    โดยอาศัยตำราของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี)    ซึ่งขณะนั้นเป็นระยะเวลาที่ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น ทั้งนี้เพื่อจักได้แจกจ่ายให้ทหารได้ติดตัวไปในสมรภูมิ    เป็นกำลังใจและบำรุงขวัญทหารอีกส่วนหนึ่งด้วย

พระ เทพสิทธินายก (นาค โสภโณ)    ในตอนที่ท่านมีอายุใกล้ 70 ใคร ๆ ก็เรียกท่านว่า "หลวงปู่นาค"    แม้ว่าท่านจะมีร่างกายสมบูรณ์ชราภาพมากขึ้นตามวัยและสังขาร    ท่านก็มิได้ละเลยทางศาสนกิจ ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของกุลบุตรทุกชั้นวรรณะมากมาย    ท่านเป็นผู้สร้างกรรมดีมีเมตตาอันเป็นยอดปรารถนาต่อศิษยานุศิษย์     และประชาชนทั่วไปไว้มากมาย มิได้สะสมทรัพย์สินอันใดไว้     จนถึงกาลมรณภาพ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2514 เวลา 4.45 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช จังหวัดธนบุรี ท่านก็จากไปอย่างสงบปราศจากความกระวนกระวายด้วยโรคชรา ขอวิญญาณของท่านจงบรรลุถึงฟากฟ้าสรวงสวรรค์     คงเหลือไว้แต่คุณงามความดีอันสูงส่ง สุดที่จะนำมาเขียนไว้ในที่นี้     รวมศิริอายุของท่านได้ 87 ปี อยู่ในสมณเพศถึง 75 ปี และเป็นเจ้าอาวาสมาแล้ว 47 พรรษา     นับว่าท่านเป็นผู้ที่อยู่ในสมณเพศและเป็นเจ้าอาวาสที่นานที่สุดรูปหนึ่ง

คณะ ศิษยานุศิษย์ผู้บันทึกประวัติของท่าน "หลวงปู่นาค" ขอกราบนมัสการแทบเท้าของหลวงปู่นาค หากข้อความตอนหนึ่งตอนใดผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องโปรดเมตตาให้อภัยด้วยเถิด ...... คณะศิษยานุศิษย์


คัด ลอกบทความมาจาก : หนังสือประวัติพระเทพสิทธินายก วัดระฆังโฆษิตาราม และ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระเทพสิทธินายก (นาค โสภณเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี 15 มิถุนายน 2514 จำนวนพิมพ์ 2000 เล่ม โดยเจ้าคุณเที่ยง คณะ๕

                                                                                   ตอนที่ 2



สำหรับการเรียนเวทย์มนต์และวิปัสสนากรรมฐานนั้น ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์และศึกษากับ ๔สมเด็จ ดังนี้

๑.สมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์(ฤทธิ์) วัดแจ้ง (ปัจจุบันเรียกว่า “วัดอรุณราชวรวิหาร”)     ผู้เป็น อุปัชฌาย์ของหลวงปู่นาคนั่นเอง ท่านมีอาคมแก่กล้าในด้านทำเครื่องรางของขลัง      โดยเฉพาะตะกรุดหน้าผากเสือ สำนักนี้ไม่เป็นสองรองใคร ครั้นพอท่านเรียนวิชานี้สำเร็จ     การจะหาหนังเสือมาทำนั้นต้องไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตซึ่งมันบาปนัก     ท่านจึงนำมาดัดแปลงลงในโลหะต่างๆ เช่น ทองคำ เงิน นาค ทองแดง อลูมิเนียมและตะกั่ว    ลักษณะการลงและบริกรรมคาถากำกับในตัวตระกรุด ท่านก็จะทำไว้ให้มีฤทธิ์อยู่หลายแบบ     เช่นดอกนั้นเด่นด้านคงกระพัน ดอกนี้เด่นด้านค้าขาย เมตามหานิยม ดอกนู้นเน้นด้านมหาอุต ซึ่งในสมัยนั้นใครที่เข้าไปขอ     ท่านก็จะเมตตาหยิบให้พร้อมอธิบายวิธีการใช้ให้
(สำหรับวัดแจ้งหรือวัดอรุณนี้     จะมีอ้างในส่วนของ ตอนที่๓:พระพิมพ์ในวัดแต่มีออกนอกวัดด้วยนะครับ)

๒.สมเด็จ พระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ราชวรวิหาร    สมัยนั้น ดำรงค์สมณศักดิ์เป็นพระธรรมโกษาจารย์    ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์(พระคู่สวด)ในสมัยที่หลวงปู่นาคบวชเป็นพระภิษุนั่น เอง     หลวงปู่นาคได้รับการถ่ายทอดและศึกษาวิชาการลงยันต์ ๑๐๘ ชนิดครบสูตรในการลงยันต์เททองพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ ซึ่งเป็นตำหรับวิชาสุดยอดของการสร้างพระกริ่งในสายวัดสุทัศน์นี้
(สำหรับ วัดสุทัศน์ หากตามประวัติจะทราบว่า หลวงปู่นาคท่านจะสนิทกับพระครูมูล    ซึ่งโยงถึงกันได้ว่าเป็นศิษย์ร่วมรุ่นเดียวกันนั่นเอง เกจิ ๒ ท่านนี้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งครับ     จึงไม่แปลกที่พระสมเด็จของพระครูมูลถึงได้มีมวลสารพระสมเด็จเก่าของวัดระฆัง ไปผสมกันเป็นจำนวนมาก     และบางครั้งก็พบว่าพิมพ์สมเด็จมีหน้าตาและพิมพ์พระเกศบัวตูมของพระครูมูลมี มาปรากฎในแบบแม่พิมพ์ที่หลวงปู่นาคท่านกดพระด้วยครับ     จะมีไปขยายความกันในตอนที่๓:พระใน-นอก พิมพ์)

๓.สมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกุล ณ อยุธยา)    ในสมัยที่ท่านดำรงสมณศักดิ์เป็น พระธรรมไตรโลกาจารย์ และเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆัง     สืบต่อจากสมเด็จพระพุทธบาทปิลันท์ (ม.ร.ว.ทัศน์ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา)
เป็น ที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่า     สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านเป็นศิษย์องค์สุดท้ายของสมเด็จพุทธจารย์โต ในสมัยบั้นปลายชีวิตสมเด็จโต สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)     ท่านได้เรียนสำเร็จวิชาการทำผงวิเศษจากสมเด็จโตและเป็นกำลังสำคัญในการลบและ จัดทำผงวิเศษทั้ง๕ชนิด     เพื่อถวายให้สมเด็จโตสร้างพระวัดระฆังฯรุ่นแรก มาถึงยุคที่ท่านเป็นพระอาจารย์ให้หลวงปู่นาค     ท่านก็สอนการทำผงนี้ให้จนสำเร็จครบหลักสูตรเช่นกัน ดังนั้นพระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านสร้างจึงเป็นพระที่มีสูตรการสร้างเหมือน กับพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นแรกนั่นเอง

๔.สมเด็จ พระสังวรนุวงศ์เถร(ชุ่ม) วัดราชสิทธาราม(วัดพลับ)     เกจิท่านี้เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาให้กับหลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอกนั่นเอง     หลวงปู่นาคก็ได้มาเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่สำนักนี้จนสำเร็จเช่นกัน
หลังจากที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านมรณภาพแล้ว หลวงปู่นาคก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม องค์ที่๙

***********************************************************
สำหรับเรื่องการสร้างวัตถุมงคลต่างๆ

โดย เฉพาะประเภทพระเนื้อผงนั้น   ท่านจะเน้นถึงความสำคัญเกี่ยวกับผงวิเศษที่นำมาบดผสมในการสร้างทุกครั้ง ใช้ผงถูกต้องตามสูตรที่สมเด็จพุทธจาร์ยโตสร้างเลยครับ โดยเรียนมาจาก พุทธโฆษาจารย์ เจริญ  หลวงปู่ได้สร้างวัตถุมงคล ทั้งสมเด็จ และพระเนื้อผง และเหรียญ ไว้เป็นจำนวนมาก   เท่าที่ทราบไม่ต่ำกว่า 50 พิมพ์ขึ้นไป     ทางวัดจัดสร้างบ้าง   ลูกศิษย์สร้างบ้าง  และวัดอื่นสร้างบ้างและมาให้ท่านปลุกเสกให้บ้าง     พระยุคแรกประมาณปี 2484 จนถึงปี 2495 ท่านได้สร้างพระเป็์นจำนวนมาก โดยได้ผสมผงเก่าสมเด็จโต  ผงพระปิลันทร์ ผลอิทธิเจ ซึ่งหลวงปู่ได้ปลุกเสกเองตามตำรับสมเด็จโต พรหมรังสี    โดยได้นำผงเก่าทั้งหมดมาปั้นเป็นแท่งและเขียนอักขระยันต์ลงแผ่นกระดาน 108 ครั้้ง จึงได้ลบผงบนกระดานนำมาสร้างพระสมเด็จและพระเนื่้อผงต่างๆ  เช่น วัดประสาทในปี 2506  วัดจังหวัดอยุธยา  วัดละครทำ    วัดชิโนรส   และวัดอื่นอีกหลายวันที่ยังไม่ได้อ้างถึงครับ

การปลุกเสกวัตถุมงคล

หลังจากพิมพ์พระเสร็จ  หลวงปู่นาคท่านจะให้ลูกศิษย์นำพระเครื่องทั้งหมดไปไว้ในพระอุโบสถ    หลังจากทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จแล้    ว ท่านจะปิดประตูโบถส์ อยู่เพียงลำพังท่านเดียว    และทำการปลุกเสกพระจนถึงเที่ยงคืน    จึงกลับกุฏิจำวัด รุ่งขึ้นจึงนำพระเครื่องทั้งหมดมาไว้ที่วิหารสมเด็จโต     ทำการปลุกเสกตอนกลางคืนอีกวาระหนึ่ง   จากนั้นก็นำมาทำการปลุกเสกในกุฏิของท่านอีกครั้งเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการ ปลุกเสกพระ สาเหตุที่ท่านทำเช่นนี้     ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า...หลวงพ่อพระประธานในโบสถ์   ท่านศักดิ์สิทธิ์ เราเป็นเพียงตถาคตมาอาศัยสถานที่ท่านพำนัก     จะทำสิ่งใดก็ต้องบอกกล่าวท่าน และให้ท่านช่วยปลุกเสกให้ด้วยจึงจะถูกต้อง ...ส่วนที่นำเข้าวิหารสมเด็จโต    เพราะสมเด็จโตนี้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯมาก่อน และ เป็นครูบาอาจารย์ขอข้า จะทำอะไรก็ต้องบอกกล่าวท่านก่อน    แล้วให้ท่านมาร่วมรับรู้และช่วยกันปลุกเสกแผ่พลังจิตพระเครื่องเหล่านี้ด้วย จึงจะสมบูรณ์


        ฉะนั้นพระเครื่องทุกรุ่นที่หลวงปู่นาคท่านได้จัดสร้างขึ้น   จึงเป็นที่เชื่อว่า เต็มเปี่ยมไปด้วย
 

พุทธานุภาพ    ครบทุกด้าน (เมตตา มหานิยม โชคลาภ และแคล้วคลาดจากสรรพภัยอันตราย

ต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม)...