ย้อน
หลังไปเมื่อกว่าแปดสิบปีก่อนโน้น ดินแดนแห่งที่ราบสูงนครราชสีมา
หรือที่ชาวบ้านชาวเมืองเรียกติดปากมาจนบัดนี้ว่า "เมืองโคราช"
เด็กชายนาคฯ ได้ถือปฏิสนธิ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2427 เวลา 19.10
น. เศษ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 9 ปีวอก จุลศักราช 1246
ท่านมาจากตระกูลและพื้นเพเดิมของผู้มีอันจะกินและมีบรรดาศักดิ์สูงของตระกูล
"มะเริงสิทธิ" ปู่ทวดของท่านมียศบรรดาศักดิ์เป็นที่ "หลวงเริง"
และปู่ของท่านแท้ ๆ คือ ขุนประสิทธิ์ (อยู่)
นายอากรเมืองโคราชในยุคนั้น และย่าของท่านชื่อ ท่านฉิม บิดาของท่าน
คือ นายป้อม มะเริงสิทธิ มารดาชื่อ นางสวน บุตรพระวิเศษ (ทองศุข)
และท่านอิ่ม ท่านเป็นบุตรคนที่ 1 มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คน ชาย 2 คน
หญิง 2 คน ดังนี้
1.พระเทพสิทธินายก (นาค โสภณเถระ)
2.พระภิกษุโชติ (ถึงแก่มรณภาพแล้ว)
3.นางทุเรียน ประภาวดี
4.นางอุดร จุลรัษเฐียร
ใคร
ก็รู้ ..... เมืองโคราชสมัยกว่าแปดสิบปีนั้น
ห่างไกลจากกรุงเทพพระมหานครประหนึ่งคนละฟากฟ้า
เพราะการคมนาคมไม่สะดวกเหมือนปัจจุบันนี้
การไปมายังไม่มีทางรถไฟและถนนหนทาง หลวงปู่นาคเล่าว่า
เมืองโคราชสมัยที่ท่านยังเป็นเด็กนั้น
ห่างตัวเมืองออกไปเล็กน้อยล้วนแต่เป็นป่าเปลี่ยว
มีแต่สัตว์ป่าที่ดุร้ายนานาชนิด
ทางเดินที่จะผ่านเข้าสู่เมืองหลวงกรุงเทพพระมหานครเป็นป่าดงพงพีทุระกันดาร
อย่างแสนสาหัสจนเรียกกันว่า "ดงพญาเย็น - ดงพญาไฟ"
ซึ่งผู้คนจำนวนไม่น้อยมาพบจุดจบเมื่อผ่านดงมหาภัยแห่งนี้
ปัจจุบันคนที่เกิดในยุคนี้อาจไม่รู้จักหรือลืมชื่อเสียแล้ว
เด็ก
ชาย นาค มะเริงสิทธิ
เหมือนกับลูกชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายที่เจริญวัยขึ้นมา
อยากหาความรู้ใส่ตัวเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล
แต่โคราชยังไม่มีโรงเรียนเกิดขึ้น มีแต่วัดวาอารามเท่านั้น
พ่อแม่จึงส่งเด็กชายนาค ฯ มาฝากไว้กับพระครูสังฆวิจารย์ (มี)
ซึ่งเป็นลุงของท่านที่วัดบึงใกล้ประตูชุมพลเดี๋ยวนี้
ซึ่งท่านได้สั่งสอนวิชาให้ตามสมควร ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณรตั้งแต่นั้นมา
อาศัยที่ท่านเป็นคนฉลาดเล่าเรียนเก่ง
พระอาจารย์ที่เป็นครูสั่งสอนภาษาบาลีและภาษาไทย
จึงแนะแนวทางให้ท่านเดินทางเข้ามาศึกษาต่อในสำนักดี ๆ ในกรุงเทพฯ
เพื่อความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
สามเณร
นาค อายุ 13 ปี หาโอกาสเดินทางอยู่เป็นเวลาแรมเดือน
จึงสบโอกาสเมื่อมีกองคาราวานวัวต่างและเกวียนราว 30 กว่าคน
จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ท่านจึงขอร่วมเดินทางมากับเขา ด้วยสมความตั้งใจ
ท่านเล่าว่าตอนที่เดินทางมาหลายสิบวันนั้น ใกล้จะถึงเมืองสระบุรี
ท่านได้เห็นกุลี (กรรมกร)
เป็นจำนวนมากกำลังทำงานกรุยทางสร้างทางรถไฟอยู่แล้ว
เมื่อถึงสระบุรีแล้วท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงขอแยกจากกองคาราวาน
เข้าขอฝากตัวเป็นศิษย์กับพระภิกษุรูปหนึ่งในวัด "ทองพุ่มพวง" อำเภอเสาไห้
ซึ่งหลวงนิเทศ นายอำเภอเสาไห้ ผู้เป็นน้าช่วยอุปการะ
ท่านอาศัยอยู่ในวัดนี้หลายเดือนและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วย
แต่ท่านก็มิได้ละความตั้งใจที่จะเข้าศึกษาพระธรรมวินัยในกรุงเทพฯ
ให้ได้ในกาลข้างหน้า
ท่านกล่าว
ว่า ต่อมาท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ สมความตั้งใจ มีญาติในกรุงเทพฯ
แนะนำพาท่านซึ่งยังเป็นเณรไปฝากไว้กับท่านอาจารย์เลื่อม
ซึ่งเป็นพระลูกวัดของวัดระฆังโฆษิตาราม มีกุฏิอยู่หน้าวัดใกล้ปากคลอง
และปัจจุบันนี้ได้สร้างเป็นโรงเรียนสตรีวัดระฆัง
พระ
อาจารย์เลื่อมเป็นพระหลวงตาที่ชราภาพมาก และเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา
มีลูกศิษย์ลูกหามาก โดยที่ท่านเป็นพระสอนทางวิปัสสนากรรมฐาน
ท่านเฝ้าสั่งสอนวิชาการต่าง ๆ ให้ด้วยความรักความเอ็นดู
เพราะสามเณรนาคเป็นผู้ว่านอนสอนง่ายสมองปราดเปรื่อง
ตอน
นั้น .... ท่านเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม คือ พระธรรมโตรโลกาจารย์
ซึ่งต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ
อิศรางกูร) สมเด็จองค์นี้เป็นศิษย์ของสมเด็จองค์เก่า คือ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) นั่นเอง
พระธรรมไตรโลกาจารย์มองเห็นหน่วยก้านและบุคลิกลักษณะของสามเณรแล้ว
พิจารณาเห็นว่าจะดีเด่นเป็นเอกในวันข้างหน้า
ท่านจึงได้รับอุปการะและสั่งสอนในสำนักของท่านทั้งภาษาไทยและภาษาบาลี
ความ
เจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองสมัยนั้น
เพิ่งจะเริ่มขึ้นชั่วคนละฟากข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา นับได้ว่าวัดระฆังฯ
อยู่ใกล้กำแพงเมืองหลวงหรือเรียกกันว่าใกล้ปืนเที่ยงที่สุดวัดหนึ่ง
วัดระฆังฯ มีอาณาเขตกว้างใกญ่ไพศาล รายล้อมไปด้วยสวนและนาอยู่ใกล้ ๆ
เป็นดินแดนแห่งความสงบวิเวกวังเวง
เหมาะสมที่จะบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ของภิกษุสงฆ์ ท่านเล่าว่า ท่านอาจารย์นวล
ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาบาลี เดิมเคยจำพรรษาอยู่สำนักวัดมหาธาตุ
ได้ข้ามฟากมาสอนภาษาบาลีอยู่ในสำนักวัดระฆังฯ และเป็นอาจารย์ของท่านด้วย
เมื่อ
สามเณรนาคฯ มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าแปลเปรียญธรรม ประโยค 3
เป็นครั้งแรกต่อหน้าพระที่นั่งรัชกาลที่ 5
และกรรมการสงฆ์ล้วนแต่เป็นพระเถรานุเถระผู้ใหญ่ผู้ทรงสมณศักดิ์หลายรูป
ปรากฏว่าสามเณรนาคฯ แปลได้เป็นเปรียญธรรมประโยค 3
ได้รับพระราชทานเครื่องไทยทานอัฎฐบริขารจากพระหัตถ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5
ด้วยองค์หนึ่ง
สามเณร
นาคฯ ได้เป็นมหาสามประโยคแล้วสมความตั้งใจ
ท่านมิได้หยุดยั้งเพียงเท่านี้ คงพยายามศึกษาเล่าเรียนต่อไปจนเมื่ออายุครบ
21 ปี สามเณรนาคฯ
เข้าแปลหน้าพระที่นั่งอีกครั้งหนึ่งและได้เปรียญธรรมประโยค 4
นับว่าสามเณรนาคฯ เป็นผู้คงแก่เรียนซึ่งหาได้ยากในยุคนั้น
ซึ่งแต่ละครั้งที่เข้าสอบจะมีพระภิกษุและสามเณรสอบเปรียญได้เพียงไม่กี่รูป
ระยะ
นั้นท่านเจ้าอาวาส พระธรรมไตรโลกาจารย์ จึงทรงอุปการะบวชสามเณรนาค
ผู้มีอายุครบบวชแล้วเป็นพระภิกษุสงฆ์ต่อไป
โดยได้ทรงนิมนต์พระเถระผู้ทรงสมณศักดิ์สูงมาเป็นพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจา
จารย์ ต่อหน้าองค์พระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม ดังต่อไปนี้
************************************************************
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์) อธิบดีสงฆ์ วัดอรุณราชวราราม ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์
สมเด็จพระวันรัต (ดิษ) อธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระธรรมโกษาจารย์ (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) ทรงเป็นผู้บอกอนุสาสน์
*************************************************************
พระ
มหานาค ป.ธ. 4 ซึ่งต่อมาชาวบ้านเรียกชื่อท่านสั้น ๆ ว่า "มหานาค"
และรับฉายาจากองค์พระอุปัชฌาย์ว่า "โสภโณภิกขุ"
ได้เข้าแปลเปรียญธรรมได้ประโยค 5 ภายหลังบวชเป็นพระแล้วใหม่ ๆ
ต่อจากนั้นท่านมหานาคไม่ได้เข้าแปลเพื่อสอบเปรียญธรรมเพิ่มขึ้นอีก
ซึ่งในขณะนั้นมีการศึกษาเปรียญธรรมถึงประโยค 6
เนื่องด้วยท่านมีภาระยุ่งกับงานของวัดมากขึ้น
โดยเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดในพระคุณเจ้าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ
อิศรางกูร)
- ต่อมาในปี พ.ศ.2464 ท่านโสภโณภิกขุ (มหานาค) ได้รับสัญญาบัตรพัดยศเป็นที่ พระธรรมกิติ
-
พ.ศ.2467 - 2468 ภายหลังจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ
อิศรางกูร) มรณภาพแล้ว
พระธรรมกิติได้รับหน้าที่รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามแทน
และเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมาจนมรณภาพ .. (1)
- พ.ศ.2475 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศที่ พระราชโมลี
- พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานเลื่อนขึ้นเป็นที่ พระเทพสิทธินายก
ใน
สมัยที่ท่านกำลังศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมประโยค 4 - 5 ท่าน
ได้ศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานกับท่านอาจารย์ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง)
และวัดพลับ (เจริญภาส)
เพิ่มเติมอีกโดยได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดซึ่งต้องใช้เวลาเพียรพยายามศึกษา
เล่าเรียนอยู่ประมาณ 10 ปี
ก็สามารถใช้เป็นมูลฐานกระทำชาญวิปัสสนาส่งกระแสจิตได้
ต่อมาได้เปิดสอนทางวิปัสสนากรรมฐานขึ้นในศาลาการเปรียญของวัดระฆังโฆษิตาราม
เกี่ยวกับการสอนวิปัสสนานี้ได้เคยปรากฏว่า
ครั้งหนึ่งผู้เข้าศึกษานั่งสมาธิจิตทางวิปัสสนา
ได้นั่งทำจิตถอดวิญญาณไปดูนรกสวรรค์ และท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ
เป็นเวลา 2 วัน ก็ยังไม่คืนสติ คงนั่งสมาธิอยู่เช่นนั้น
ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการฝึกสอนอยู่
ได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตไปติดตามวิญยาณของผู้นั่งสมาธิรายนี้
และไปพบในสุสานวัดดอน ตรอกจันทร์ ปรากฏว่ากำลังเที่ยวเพลิดเพลินอยู่
ท่านจึงส่งกระแสจิตเตือนวิญญาณนั้นให้กลับคืนเข้าร่างเดิมเพราะล่วงมา 2 -
3 วันแล้ว หากล่าช้าไปจะคืนเข้าร่างเดิมไม่ได้
ร่างกายก็อาจจะเน่าเปื่อยไป
วิญญาณของชายผู้นั้นจึงได้สติแล้วกลับคืนมาเข้าร่างเดิมที่นั่งสมาธิอยู่ใน
ศาลาการเปรียญวัดระฆังโฆสิตาราม
นอกจากนี้ได้เคยปรากฏว่าคุณโยมของท่านป่วยอยู่ทางจังหวัดนครราชสีมา
โดยมิได้ส่งข่าวถึงท่าน
แต่ท่านสามารถทราบได้และนำหยูกยาไปปฐมพยาบาลได้ถูก
เพราะท่านใช้อำนาจกระแสสิตทางวิปัสสนา ดังนี้
การกำหนดจิตอันกระทำให้เกิดพลังจิตขึ้นได้จึงเป็นเหตุให้พระคุณเจ้าได้คิด
สร้างพระสมเด็จขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2484
โดยอาศัยตำราของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี)
ซึ่งขณะนั้นเป็นระยะเวลาที่ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น
ทั้งนี้เพื่อจักได้แจกจ่ายให้ทหารได้ติดตัวไปในสมรภูมิ
เป็นกำลังใจและบำรุงขวัญทหารอีกส่วนหนึ่งด้วย
พระ
เทพสิทธินายก (นาค โสภโณ) ในตอนที่ท่านมีอายุใกล้ 70 ใคร ๆ
ก็เรียกท่านว่า "หลวงปู่นาค"
แม้ว่าท่านจะมีร่างกายสมบูรณ์ชราภาพมากขึ้นตามวัยและสังขาร
ท่านก็มิได้ละเลยทางศาสนกิจ
ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของกุลบุตรทุกชั้นวรรณะมากมาย
ท่านเป็นผู้สร้างกรรมดีมีเมตตาอันเป็นยอดปรารถนาต่อศิษยานุศิษย์
และประชาชนทั่วไปไว้มากมาย มิได้สะสมทรัพย์สินอันใดไว้ จนถึงกาลมรณภาพ
เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2514 เวลา 4.45 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช
จังหวัดธนบุรี ท่านก็จากไปอย่างสงบปราศจากความกระวนกระวายด้วยโรคชรา
ขอวิญญาณของท่านจงบรรลุถึงฟากฟ้าสรวงสวรรค์
คงเหลือไว้แต่คุณงามความดีอันสูงส่ง สุดที่จะนำมาเขียนไว้ในที่นี้
รวมศิริอายุของท่านได้ 87 ปี อยู่ในสมณเพศถึง 75 ปี และเป็นเจ้าอาวาสมาแล้ว
47 พรรษา
นับว่าท่านเป็นผู้ที่อยู่ในสมณเพศและเป็นเจ้าอาวาสที่นานที่สุดรูปหนึ่ง
คณะ
ศิษยานุศิษย์ผู้บันทึกประวัติของท่าน "หลวงปู่นาค"
ขอกราบนมัสการแทบเท้าของหลวงปู่นาค
หากข้อความตอนหนึ่งตอนใดผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องโปรดเมตตาให้อภัยด้วยเถิด
...... คณะศิษยานุศิษย์
คัด ลอกบทความมาจาก : หนังสือประวัติพระเทพสิทธินายก วัดระฆังโฆษิตาราม และ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระเทพสิทธินายก (นาค โสภณเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี 15 มิถุนายน 2514 จำนวนพิมพ์ 2000 เล่ม โดยเจ้าคุณเที่ยง คณะ๕
ตอนที่ 2
สำหรับการเรียนเวทย์มนต์และวิปัสสนากรรมฐานนั้น ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์และศึกษากับ ๔สมเด็จ ดังนี้
๑.สมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์(ฤทธิ์) วัดแจ้ง (ปัจจุบันเรียกว่า “วัดอรุณราชวรวิหาร”) ผู้เป็น อุปัชฌาย์ของหลวงปู่นาคนั่นเอง ท่านมีอาคมแก่กล้าในด้านทำเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะตะกรุดหน้าผากเสือ สำนักนี้ไม่เป็นสองรองใคร ครั้นพอท่านเรียนวิชานี้สำเร็จ การจะหาหนังเสือมาทำนั้นต้องไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตซึ่งมันบาปนัก ท่านจึงนำมาดัดแปลงลงในโลหะต่างๆ เช่น ทองคำ เงิน นาค ทองแดง อลูมิเนียมและตะกั่ว ลักษณะการลงและบริกรรมคาถากำกับในตัวตระกรุด ท่านก็จะทำไว้ให้มีฤทธิ์อยู่หลายแบบ เช่นดอกนั้นเด่นด้านคงกระพัน ดอกนี้เด่นด้านค้าขาย เมตามหานิยม ดอกนู้นเน้นด้านมหาอุต ซึ่งในสมัยนั้นใครที่เข้าไปขอ ท่านก็จะเมตตาหยิบให้พร้อมอธิบายวิธีการใช้ให้
(สำหรับวัดแจ้งหรือวัดอรุณนี้ จะมีอ้างในส่วนของ ตอนที่๓:พระพิมพ์ในวัดแต่มีออกนอกวัดด้วยนะครับ)
๒.สมเด็จ พระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ราชวรวิหาร สมัยนั้น ดำรงค์สมณศักดิ์เป็นพระธรรมโกษาจารย์ ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์(พระคู่สวด)ในสมัยที่หลวงปู่นาคบวชเป็นพระภิษุนั่น เอง หลวงปู่นาคได้รับการถ่ายทอดและศึกษาวิชาการลงยันต์ ๑๐๘ ชนิดครบสูตรในการลงยันต์เททองพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ ซึ่งเป็นตำหรับวิชาสุดยอดของการสร้างพระกริ่งในสายวัดสุทัศน์นี้
(สำหรับ วัดสุทัศน์ หากตามประวัติจะทราบว่า หลวงปู่นาคท่านจะสนิทกับพระครูมูล ซึ่งโยงถึงกันได้ว่าเป็นศิษย์ร่วมรุ่นเดียวกันนั่นเอง เกจิ ๒ ท่านนี้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งครับ จึงไม่แปลกที่พระสมเด็จของพระครูมูลถึงได้มีมวลสารพระสมเด็จเก่าของวัดระฆัง ไปผสมกันเป็นจำนวนมาก และบางครั้งก็พบว่าพิมพ์สมเด็จมีหน้าตาและพิมพ์พระเกศบัวตูมของพระครูมูลมี มาปรากฎในแบบแม่พิมพ์ที่หลวงปู่นาคท่านกดพระด้วยครับ จะมีไปขยายความกันในตอนที่๓:พระใน-นอก พิมพ์)
๓.สมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกุล ณ อยุธยา) ในสมัยที่ท่านดำรงสมณศักดิ์เป็น พระธรรมไตรโลกาจารย์ และเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆัง สืบต่อจากสมเด็จพระพุทธบาทปิลันท์ (ม.ร.ว.ทัศน์ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา)
เป็น ที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านเป็นศิษย์องค์สุดท้ายของสมเด็จพุทธจารย์โต ในสมัยบั้นปลายชีวิตสมเด็จโต สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านได้เรียนสำเร็จวิชาการทำผงวิเศษจากสมเด็จโตและเป็นกำลังสำคัญในการลบและ จัดทำผงวิเศษทั้ง๕ชนิด เพื่อถวายให้สมเด็จโตสร้างพระวัดระฆังฯรุ่นแรก มาถึงยุคที่ท่านเป็นพระอาจารย์ให้หลวงปู่นาค ท่านก็สอนการทำผงนี้ให้จนสำเร็จครบหลักสูตรเช่นกัน ดังนั้นพระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านสร้างจึงเป็นพระที่มีสูตรการสร้างเหมือน กับพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นแรกนั่นเอง
๔.สมเด็จ พระสังวรนุวงศ์เถร(ชุ่ม) วัดราชสิทธาราม(วัดพลับ) เกจิท่านี้เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาให้กับหลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอกนั่นเอง หลวงปู่นาคก็ได้มาเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่สำนักนี้จนสำเร็จเช่นกัน
หลังจากที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านมรณภาพแล้ว หลวงปู่นาคก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม องค์ที่๙
***********************************************************
สำหรับเรื่องการสร้างวัตถุมงคลต่างๆ
โดย เฉพาะประเภทพระเนื้อผงนั้น ท่านจะเน้นถึงความสำคัญเกี่ยวกับผงวิเศษที่นำมาบดผสมในการสร้างทุกครั้ง ใช้ผงถูกต้องตามสูตรที่สมเด็จพุทธจาร์ยโตสร้างเลยครับ โดยเรียนมาจาก พุทธโฆษาจารย์ เจริญ หลวงปู่ได้สร้างวัตถุมงคล ทั้งสมเด็จ และพระเนื้อผง และเหรียญ ไว้เป็นจำนวนมาก เท่าที่ทราบไม่ต่ำกว่า 50 พิมพ์ขึ้นไป ทางวัดจัดสร้างบ้าง ลูกศิษย์สร้างบ้าง และวัดอื่นสร้างบ้างและมาให้ท่านปลุกเสกให้บ้าง พระยุคแรกประมาณปี 2484 จนถึงปี 2495 ท่านได้สร้างพระเป็์นจำนวนมาก โดยได้ผสมผงเก่าสมเด็จโต ผงพระปิลันทร์ ผลอิทธิเจ ซึ่งหลวงปู่ได้ปลุกเสกเองตามตำรับสมเด็จโต พรหมรังสี โดยได้นำผงเก่าทั้งหมดมาปั้นเป็นแท่งและเขียนอักขระยันต์ลงแผ่นกระดาน 108 ครั้้ง จึงได้ลบผงบนกระดานนำมาสร้างพระสมเด็จและพระเนื่้อผงต่างๆ เช่น วัดประสาทในปี 2506 วัดจังหวัดอยุธยา วัดละครทำ วัดชิโนรส และวัดอื่นอีกหลายวันที่ยังไม่ได้อ้างถึงครับ
การปลุกเสกวัตถุมงคล
หลังจากพิมพ์พระเสร็จ หลวงปู่นาคท่านจะให้ลูกศิษย์นำพระเครื่องทั้งหมดไปไว้ในพระอุโบสถ หลังจากทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จแล้ ว ท่านจะปิดประตูโบถส์ อยู่เพียงลำพังท่านเดียว และทำการปลุกเสกพระจนถึงเที่ยงคืน จึงกลับกุฏิจำวัด รุ่งขึ้นจึงนำพระเครื่องทั้งหมดมาไว้ที่วิหารสมเด็จโต ทำการปลุกเสกตอนกลางคืนอีกวาระหนึ่ง จากนั้นก็นำมาทำการปลุกเสกในกุฏิของท่านอีกครั้งเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการ ปลุกเสกพระ สาเหตุที่ท่านทำเช่นนี้ ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า...หลวงพ่อพระประธานในโบสถ์ ท่านศักดิ์สิทธิ์ เราเป็นเพียงตถาคตมาอาศัยสถานที่ท่านพำนัก จะทำสิ่งใดก็ต้องบอกกล่าวท่าน และให้ท่านช่วยปลุกเสกให้ด้วยจึงจะถูกต้อง ...ส่วนที่นำเข้าวิหารสมเด็จโต เพราะสมเด็จโตนี้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯมาก่อน และ เป็นครูบาอาจารย์ขอข้า จะทำอะไรก็ต้องบอกกล่าวท่านก่อน แล้วให้ท่านมาร่วมรับรู้และช่วยกันปลุกเสกแผ่พลังจิตพระเครื่องเหล่านี้ด้วย จึงจะสมบูรณ์
ฉะนั้นพระเครื่องทุกรุ่นที่หลวงปู่นาคท่านได้จัดสร้างขึ้น จึงเป็นที่เชื่อว่า เต็มเปี่ยมไปด้วย
พุทธานุภาพ ครบทุกด้าน (เมตตา มหานิยม โชคลาภ และแคล้วคลาดจากสรรพภัยอันตราย
ต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม)...